เช้าเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 อากาศแจ่มใส...
เวลา 7 - 8 โมงเช้าบนรถทิวป์ (tube) นับว่าเป็นเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดของใครหลายๆคนในกรุงลอนดอน ศูนย์กลางของเศรษฐกิจของอังกฤษ(และของโลกด้วยหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ) แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น ผมต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทุกๆวัน วันละ ครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำเพื่อไป-กลับ
จากที่ทำงาน
ความคิดที่อยู่ในหัวขณะยืนอยู่บนรถไฟนั้นแทบไม่มี
สารภาพตรงๆผมแทบไม่คิดอะไรเลยนอกจากเหม่อลอยไปยังนอกหน้าต่างที่ไร้ซึ่งวิวใดๆนอกจากสีดำของอุโมงค์
ผมมักจะเปิดเพลงฟังเบาๆไปด้วย
อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเวลามันหดสั้นลงมาบ้างเมื่อฟังเพลง
แถมยังช่วยป้องกันสิ่งรบกวนอันไม่พึงประสงค์จากโลกภายนอกได้อย่างดี
ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนคุยกัน เสียงเด็กร้องไห้ เสียงเพลงที่ทะลุออกมาจากหูฟังของหลายๆคน
และเสียงคนกำลังไอหรือจาม
(น่าเสียดายที่การฟังเพลงของผมไม่สามารถบังคับมือพวกเขาให้ปิดปากตัวเองได้)
ทุกๆขาไปของผม
ผมมักจะขึ้นโบกี้สุดท้ายของรถไฟเสมอ สาเหตุหลักคือมันใกล้กับบันไดที่เดินลงมา
ส่วนสาเหตุหลักยิ่งกว่าคือ คนน้อยกว่าโบกี้กลางๆ
และโชคดีของผมที่สถานีที่ผมขึ้นอยู่เกือบต้นสายของลอนดอนโซนแรก จึงไม่ต้องอารมณ์หงุดหงิดเมื่อเห็นคนเยอะแต่เช้า (จริงๆมันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้นหรอกนะครับ แค่เปรียบเทียบกับย่านใจกลางเมือง)
ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น
หาใช่การเกริ่นนำไม่ จริงๆพวกคุณจะคิดว่าเป็นก็ได้นะ
ผมอาจคิดเองคนเดียวว่ามันไม่ใช่เฉยๆ เพราะเรื่องของเรื่องก็คือรถไฟฟ้าเป็นเพียงแค่ ฉาก ของเรื่องเท่านั้น
เช้าเมื่อวานผมตื่นนอนสามรอบ
สองรอบแรกด้วยเสียงนาฬิกาปลุก
ส่วนรอบสุดท้ายตื่นขึ้นมาเองซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งสำหรับชีวิตคนที่ต้องทำงานตรงเวลา(แต่เลิกงานไม่ตรงเวลา..แย่ซะจริง)ผมตื่นจริงๆคือตอน 7 โมง 24 นาที เดินงัวเงียไปดื่มน้ำแร่หนึ่งขวด เปิดม่านหน้าต่างและมองวิวจากห้องของตัวเองยามเช้า
พอตาเริ่มเปิดก็เดินไปแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็หยิบแซนด์วิชที่ซื้อมาในตู้เย็นใส่กระเป๋า แล้วออกไปที่สถานทีทิวป์
ทุกๆเช้าผมจะสังเกตการมาของรถไฟฟ้าบนหน้าต่างติดลิฟท์ของหอพัก โชคดีจริงๆที่หอพักของผมอยู่ใกล้พอที่จะสังเกตเห็นแถมเส้นทางเดินรถแถวนั้นไม่มีผืนดินมาบดบังจึงทำให้สังเกตและประเมินได้ หากรถไฟกำลังอยู่ในระยะทางที่เหมาะสมและผมประเมินดูแล้วว่าน่าจะลงลิฟท์และวิ่งขึ้นไปทัน
ผมก็จะไม่รอช้าเลย จะลงมือทำตามความคิดนั้นในหัวทันที
ซึ่งมันก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง...และปัจจัยสำคัญที่ไม่สำเร็จก็คือ
เงินในบัตรหรือรอบของบัตรรถฟ้านั้นหมด
ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผมในช่วงเช้าเลยหากได้เจอเช่นนั้น
เพราะต้องเดินกลับมาต่อแถวเติมเงินซึ่งท้ายที่สุดผมก็ต้องเสียรถฟ้าไป1 หรืออาจจะ 2
ขบวนที่เคลื่อนผ่านไป
โชคดีที่วันนี้ผมไม่มีปัญหา
เงินยังเหลืออยู่ และขึ้นรถไฟทันตามแผน
ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี และผมก็หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นรถไฟฟ้าเสียเกิดขึ้นอีก
เมื่อรถไฟฟ้าแล่นมาถึงสถานีโกลสเตอร์ โรด (Gloucester Road) ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง
เพราะผู้คนที่รอขึ้นมีมากซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับสถานีก่อนหน้าทั้งหมด
และผู้คนที่รอเหล่านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อรถไฟฟ้ามาจะขึ้นหมด
พวกเขาพยายามดันตัวเข้าไปในรถ ทุกคนต่างเร่งรีบกันทั้งนั้น
ซึ่งในเวลานี้เองที่รถไฟอยู่ในสภาพที่เรียกว่าปลากระป๋อง
เลวร้ายกว่านั้นก่อนจะถึงสถานีกรีนปาร์ก (Green Park) รถไฟฟ้าดันหยุดอยู่ระหว่างทางเสมอเนื่องจากจัดการจราจรหรืออะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ค่อยถนัดนักเพราะเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงกลบอยู่
ที่ทำงานของผมอยู่สถานทีวอเตอร์ลู (Waterloo) ซึ่งต้องเปลี่ยนเป็นสายสีเทาจากสถานีกรีนปาร์ก ผมเปลี่ยนสายแล้วยืนบนรถไฟฟ้าเพื่อไปยังที่ทำงาน
(รถไฟฟ้าที่นี่โชคดีที่ไม่มีกฎลวงตาที่ว่าผู้ชายห้ามนั่งอยู่เสมอ เหมือนอย่างประเทศอื่นๆ..ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้)
และเมื่อมาถึงสถานีวอเตอร์ลู ผมรีบก้าวออกจากรถด้วยความรวดเร็วเพราะเสียเวลาทำงานมาพอสมควรแล้ว
ขณะเดินออกจากรถผมมักจะชอบมองกระจกที่ไว้ใช้ขวางประตูรถไฟฟ้าเสมอเพื่อสำรวจเครื่องแต่งกายของตนเอง
และช่วงเวลานั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอช่างดูคุ้นตามาก
แน่นอนว่าผมจำเธอได้ทันที ผมและเธอ(น่าจะเป็นรุ่นน้อง)เคยเรียนวิชาเดียวกัน
ผมนั่งอยู่หลังเธอเสมอ
แต่เราทั้งคู่ต่างไม่เคยคุยกันเลยผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน
ผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างเล็ก หน้าตาน่ารักๆทั่วไป
แต่หากคุณเคยเรียนกับเธอคุณจะสัมผัสได้ถึงความคล่องงานของเธอ
และนั่นก็เป็นเรื่องจริงเมื่อได้ทำงานร่วมกันในตอนที่ต้องจัดนิทรรศการวิชาการของคณะเศรษฐศาสตร์
เธอเป็นนักศึกษารุ่นน้องซึ่งน่าจะอ่อนกว่าผม 2 ปี และตอนนี้เธอน่าจะอยู่ปีที่3 ผมคงไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าเธอเป็นคนสวยแต่จะค่อนไปทางน่ารักเสียมากกว่า เป็นหน้าตาประเภทสาวน้อยร้อยเปอร์เซนต์เมื่อแรกเห็น นอกจากนี้เท่าที่ผมเคยได้ยินมา เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยง เป็นคณะกรรมการรุ่นของคณะ เป็นคณะกรรมการในสโมสรนักศึกษา และยังเป็นประธานชมรมวิชาการ นอกจากนี้ในด้านการเรียนเธอก็ทำได้ดีแม้จะไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผลงานด้านกิจกรรมของเธอ
ผมเหลือบเธอได้ไม่ทันไรเธอก็เหมือนสังเกตได้และมองมาที่ผมเช่นกัน
สายตาของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าเธอจำผมได้
ผมและเธอต่างมองหน้ากันอยู่สักพักขณะที่เท้าทั้งสองข้างของผมก็ไม่ได้หยุดเดิน
ผมเดินผ่านเธอไป
ประตูรถไฟเริ่มปิด และเมื่อผมไปที่บันได รถไฟก็กำลังเคลื่อนผ่านไป....
เพลงนอคเทิร์น หมายเลข 2 อีแฟลตไมเนอร์ของโชแปงในอัลบั้ม The Classical Guide to Chopin ก็จบลง แล้วโลกของผมอันจำเจก็เริ่มหมุนอีกครั้ง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น