วันศุกร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2557

บันทึกของชายคนหนึ่งในวันที่ฟ้าแจ่มใสในเดือนกันยายน (เรื่องสั้น)

เช้าเดือนกันยายน ค.ศ. 2014 อากาศแจ่มใส...

เวลา 7 - 8 โมงเช้าบนรถทิวป์ (tube) นับว่าเป็นเวลาที่น่าอึดอัดที่สุดของใครหลายๆคนในกรุงลอนดอน ศูนย์กลางของเศรษฐกิจของอังกฤษ(และของโลกด้วยหรือไม่ ผมไม่แน่ใจ) แน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในคนพวกนั้น  ผมต้องอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ทุกๆวัน วันละ ครึ่งชั่วโมงอย่างต่ำเพื่อไป-กลับ จากที่ทำงาน

ความคิดที่อยู่ในหัวขณะยืนอยู่บนรถไฟนั้นแทบไม่มี สารภาพตรงๆผมแทบไม่คิดอะไรเลยนอกจากเหม่อลอยไปยังนอกหน้าต่างที่ไร้ซึ่งวิวใดๆนอกจากสีดำของอุโมงค์

ผมมักจะเปิดเพลงฟังเบาๆไปด้วย อย่างน้อยก็รู้สึกว่าเวลามันหดสั้นลงมาบ้างเมื่อฟังเพลง แถมยังช่วยป้องกันสิ่งรบกวนอันไม่พึงประสงค์จากโลกภายนอกได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเสียงคนคุยกัน เสียงเด็กร้องไห้ เสียงเพลงที่ทะลุออกมาจากหูฟังของหลายๆคน และเสียงคนกำลังไอหรือจาม (น่าเสียดายที่การฟังเพลงของผมไม่สามารถบังคับมือพวกเขาให้ปิดปากตัวเองได้)

ทุกๆขาไปของผม ผมมักจะขึ้นโบกี้สุดท้ายของรถไฟเสมอ สาเหตุหลักคือมันใกล้กับบันไดที่เดินลงมา ส่วนสาเหตุหลักยิ่งกว่าคือ คนน้อยกว่าโบกี้กลางๆ และโชคดีของผมที่สถานีที่ผมขึ้นอยู่เกือบต้นสายของลอนดอนโซนแรก จึงไม่ต้องอารมณ์หงุดหงิดเมื่อเห็นคนเยอะแต่เช้า (จริงๆมันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้นหรอกนะครับ แค่เปรียบเทียบกับย่านใจกลางเมือง)

ที่เล่ามาทั้งหมดนั้น หาใช่การเกริ่นนำไม่ จริงๆพวกคุณจะคิดว่าเป็นก็ได้นะ ผมอาจคิดเองคนเดียวว่ามันไม่ใช่เฉยๆ เพราะเรื่องของเรื่องก็คือรถไฟฟ้าเป็นเพียงแค่ ฉาก ของเรื่องเท่านั้น

เช้าเมื่อวานผมตื่นนอนสามรอบ สองรอบแรกด้วยเสียงนาฬิกาปลุก ส่วนรอบสุดท้ายตื่นขึ้นมาเองซึ่งเป็นตัวอย่างที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งสำหรับชีวิตคนที่ต้องทำงานตรงเวลา(แต่เลิกงานไม่ตรงเวลา..แย่ซะจริง)ผมตื่นจริงๆคือตอน 7 โมง 24 นาที เดินงัวเงียไปดื่มน้ำแร่หนึ่งขวด เปิดม่านหน้าต่างและมองวิวจากห้องของตัวเองยามเช้า พอตาเริ่มเปิดก็เดินไปแปรงฟัน ล้างหน้า อาบน้ำ แต่งตัวเสร็จก็หยิบแซนด์วิชที่ซื้อมาในตู้เย็นใส่กระเป๋า แล้วออกไปที่สถานทีทิวป์

ทุกๆเช้าผมจะสังเกตการมาของรถไฟฟ้าบนหน้าต่างติดลิฟท์ของหอพัก โชคดีจริงๆที่หอพักของผมอยู่ใกล้พอที่จะสังเกตเห็นแถมเส้นทางเดินรถแถวนั้นไม่มีผืนดินมาบดบังจึงทำให้สังเกตและประเมินได้ หากรถไฟกำลังอยู่ในระยะทางที่เหมาะสมและผมประเมินดูแล้วว่าน่าจะลงลิฟท์และวิ่งขึ้นไปทัน ผมก็จะไม่รอช้าเลย จะลงมือทำตามความคิดนั้นในหัวทันที ซึ่งมันก็สำเร็จบ้างไม่สำเร็จบ้าง...และปัจจัยสำคัญที่ไม่สำเร็จก็คือ เงินในบัตรหรือรอบของบัตรรถฟ้านั้นหมด ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผมในช่วงเช้าเลยหากได้เจอเช่นนั้น เพราะต้องเดินกลับมาต่อแถวเติมเงินซึ่งท้ายที่สุดผมก็ต้องเสียรถฟ้าไป1 หรืออาจจะ 2 ขบวนที่เคลื่อนผ่านไป

โชคดีที่วันนี้ผมไม่มีปัญหา เงินยังเหลืออยู่ และขึ้นรถไฟทันตามแผน  ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดี และผมก็หวังว่าจะไม่มีปัญหาอะไรเช่นรถไฟฟ้าเสียเกิดขึ้นอีก เมื่อรถไฟฟ้าแล่นมาถึงสถานีโกลสเตอร์ โรด (Gloucester Road) ผมรู้สึกว่าเหมือนตัวเองเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะผู้คนที่รอขึ้นมีมากซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับสถานีก่อนหน้าทั้งหมด และผู้คนที่รอเหล่านั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เมื่อรถไฟฟ้ามาจะขึ้นหมด พวกเขาพยายามดันตัวเข้าไปในรถ ทุกคนต่างเร่งรีบกันทั้งนั้น ซึ่งในเวลานี้เองที่รถไฟอยู่ในสภาพที่เรียกว่าปลากระป๋อง

เลวร้ายกว่านั้นก่อนจะถึงสถานีกรีนปาร์ก (Green Park) รถไฟฟ้าดันหยุดอยู่ระหว่างทางเสมอเนื่องจากจัดการจราจรหรืออะไรสักอย่าง ผมฟังไม่ค่อยถนัดนักเพราะเสียบหูฟังแล้วเปิดเพลงกลบอยู่ 

ที่ทำงานของผมอยู่สถานทีวอเตอร์ลู (Waterloo) ซึ่งต้องเปลี่ยนเป็นสายสีเทาจากสถานีกรีนปาร์ก ผมเปลี่ยนสายแล้วยืนบนรถไฟฟ้าเพื่อไปยังที่ทำงาน (รถไฟฟ้าที่นี่โชคดีที่ไม่มีกฎลวงตาที่ว่าผู้ชายห้ามนั่งอยู่เสมอ เหมือนอย่างประเทศอื่นๆ..ช่างยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้) และเมื่อมาถึงสถานีวอเตอร์ลู ผมรีบก้าวออกจากรถด้วยความรวดเร็วเพราะเสียเวลาทำงานมาพอสมควรแล้ว ขณะเดินออกจากรถผมมักจะชอบมองกระจกที่ไว้ใช้ขวางประตูรถไฟฟ้าเสมอเพื่อสำรวจเครื่องแต่งกายของตนเอง และช่วงเวลานั้นเองที่ผมเหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เธอช่างดูคุ้นตามาก แน่นอนว่าผมจำเธอได้ทันที ผมและเธอ(น่าจะเป็นรุ่นน้อง)เคยเรียนวิชาเดียวกัน ผมนั่งอยู่หลังเธอเสมอ แต่เราทั้งคู่ต่างไม่เคยคุยกันเลยผมก็ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน ผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างเล็ก หน้าตาน่ารักๆทั่วไป แต่หากคุณเคยเรียนกับเธอคุณจะสัมผัสได้ถึงความคล่องงานของเธอ และนั่นก็เป็นเรื่องจริงเมื่อได้ทำงานร่วมกันในตอนที่ต้องจัดนิทรรศการวิชาการของคณะเศรษฐศาสตร์

เธอเป็นนักศึกษารุ่นน้องซึ่งน่าจะอ่อนกว่าผม 2 ปี และตอนนี้เธอน่าจะอยู่ปีที่3  ผมคงไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าเธอเป็นคนสวยแต่จะค่อนไปทางน่ารักเสียมากกว่า เป็นหน้าตาประเภทสาวน้อยร้อยเปอร์เซนต์เมื่อแรกเห็น นอกจากนี้เท่าที่ผมเคยได้ยินมา เธอเป็นนักกิจกรรมตัวยง เป็นคณะกรรมการรุ่นของคณะ เป็นคณะกรรมการในสโมสรนักศึกษา และยังเป็นประธานชมรมวิชาการ นอกจากนี้ในด้านการเรียนเธอก็ทำได้ดีแม้จะไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับผลงานด้านกิจกรรมของเธอ 

ผมเหลือบเธอได้ไม่ทันไรเธอก็เหมือนสังเกตได้และมองมาที่ผมเช่นกัน สายตาของเธอทำให้ผมรู้สึกว่าเธอจำผมได้ ผมและเธอต่างมองหน้ากันอยู่สักพักขณะที่เท้าทั้งสองข้างของผมก็ไม่ได้หยุดเดิน

ผมเดินผ่านเธอไป ประตูรถไฟเริ่มปิด และเมื่อผมไปที่บันได รถไฟก็กำลังเคลื่อนผ่านไป....


เพลงนอคเทิร์น หมายเลข 2 อีแฟลตไมเนอร์ของโชแปงในอัลบั้ม The Classical Guide to Chopin ก็จบลง แล้วโลกของผมอันจำเจก็เริ่มหมุนอีกครั้ง...

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น